
ในรายวิชา 1705372 ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์สำหรับงานเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ปีการศึกษา 1/2568 นิสิต หลักสูตรสาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริงของเหตุไฟไหม้ป่าธูปฤาษีใกล้มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนมกราคมและมีนาคม พ.ศ. 2568 https://www.youtube.com/watch?v=LZJrNJTFK5o และ https://www.facebook.com/share/p/14DT7oF6QLe/
เหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อหอพักและบ้านเรือนประชาชน เกิดกลุ่มควันหนาทึบ และต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการควบคุมเพลิง
จากเหตุการณ์จริงนี้ ถูกนำมาพัฒนาเป็นห้องเรียนภาคสนาม ให้นิสิต ได้ฝึกใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงไฟไหม้ในตำบลท่าขอนยางและตำบลขามเรียง เพื่อเสนอแนวทางป้องกันเชิงรุกที่นำไปใช้ได้จริงในพื้นที่
บทเรียนนี้ คือการก้าวจากห้องเรียนสู่ชุมชน
เพื่อสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ที่ใช้วิทยาศาสตร์และข้อมูลเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมของตนเอง
และร่วมกันทำให้พื้นที่ตำบลขามเรียงและท่าขอนยางเป็นเมืองที่ปลอดภัยจากไฟป่าและน่าอยู่สำหรับทุกคน
การสำรวจพื้นที่เสี่ยงและผลการวิเคราะห์
จากการเก็บข้อมูลและการใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) พบว่า
- ตำบลขามเรียง มีพื้นที่เสี่ยงหลัก 2 จุด ได้แก่
- บริเวณข้างร้านเดอะอัพ — เป็นป่ารกร้าง มีวัชพืชและใบไม้แห้งหนาแน่น ขยะและเศษไม้ติดไฟได้ง่าย ใกล้บ้านพักและหอพักนิสิต
- บริเวณหมู่บ้านลักษณา — มีหญ้าและขยะสะสมจำนวนมาก อยู่ติดบ้านพัก อาจเกิดไฟจากการเผาขยะหรือก้นบุหรี่
พื้นที่ทั้งสองจุดมีระดับความเสี่ยง “ปานกลางถึงสูงมาก”
ตามแบบประเมินภาคสนาม
(5–6 คะแนนจาก 8)
- ตำบลท่าขอนยาง พบพื้นที่เสี่ยง 2
จุดสำคัญ ได้แก่
- พื้นที่ที่เคยเกิดไฟไหม้จริง — มีลักษณะเป็นที่ถมใหม่ หญ้าแห้งหนาแน่น ไม่มีแนวกั้นไฟ และอยู่ใกล้บ้านพัก
- พื้นที่โล่งที่มีวัชพืชหนาแน่น — เสี่ยงสูงในช่วงฤดูแล้งเพราะลมแรงและไม่มีมาตรการดูแลอย่างต่อเนื่อง
การประเมินพบว่า ทั้งสองจุดอยู่ในระดับ “ปานกลาง” (4–5 คะแนนจาก 8) แต่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
หากขาดการจัดการเชื้อเพลิงและการเฝ้าระวัง
การสร้างความตระหนักรู้และมาตรการเชิงรุก
ข้อมูลจากการสำรวจภาคสนามสะท้อนว่า “ทุกพื้นที่เสี่ยงต่างมีจุดร่วม คือ ขาดแนวกั้นไฟ ไม่มีป้ายเตือน และยังไม่มีระบบแจ้งเตือนหรืออาสาสมัครเฝ้าระวังที่ชัดเจน”
จากการสังเคราะห์ของนิสิต จึงเสนอแนวทางการจัดการพื้นที่เสี่ยงเชิงรุก ดังนี้
- จัดการเชื้อเพลิงธรรมชาติ
- ตัดหญ้าและกำจัดวัชพืชอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง (ก่อนและระหว่างฤดูแล้ง)
- ปลูกพืชคลุมดินที่มีความชื้นสูง เช่น หญ้าแฝก หรือพืชชุ่มน้ำ
- สร้างแนวกั้นไฟถาวร
- ใช้ถนนดินหรือแนวพืชทนไฟรอบพื้นที่เสี่ยง
- ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ กำหนดแนวเชื่อมโยงระหว่างป่า–บ้าน–มหาวิทยาลัย
- ระบบเฝ้าระวังและแจ้งเหตุเร็ว
- จัดตั้ง “กลุ่มอาสาเฝ้าระวังไฟ” ร่วมระหว่างหอพัก–ชุมชน–เทศบาล
- ใช้ข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) จากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับกลุ่มไลน์ชุมชนเพื่อแจ้งเตือนทันทีเมื่อพบควันหรือประกายไฟ
- สร้างการมีส่วนร่วมและการสื่อสารความรู้
- จัดกิจกรรม “บ้านปลอดไฟป่า–หอพักปลอดควัน” เพื่อสร้างจิตสำนึก
- รณรงค์ “ห้ามเผาในฤดูแล้ง (ก.พ.–เม.ย.)” และเผยแพร่ข้อมูลความเสี่ยงผ่านสื่อสาธารณะ
เชื่อมโยงสู่การพัฒนาเมืองปลอดภัย (MCR2030)
การบูรณาการครั้งนี้ สะท้อนถึงหลักการของ MCR2030 อย่างชัดเจน ได้แก่
- หลักการที่ 2: วิเคราะห์และลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ
- หลักการที่ 5: ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ประกอบการตัดสินใจ
- หลักการที่ 7: เสริมศักยภาพและความร่วมมือของทุกภาคส่วน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงสามารถใช้ฐานข้อมูลจากนิสิตเป็นเครื่องมือเชิงวิชาการ เพื่อช่วยเทศบาลท่าขอนยางและขามเรียงวางแผนป้องกันไฟไหม้เชิงระบบ และต่อยอดสู่การเป็นเมืองที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย
การเรียนรู้ที่เติบโตจากสถานการณ์จริง
นิสิตได้เรียนรู้ทักษะทั้งเชิงเทคนิคและเชิงสังคม ได้แก่
- การใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ สำหรับวิเคราะห์เชิงพื้นที่
- การสื่อสารสิ่งแวดล้อมกับชุมชน
- การคิดเชิงระบบและเชื่อมโยงปัจจัยภัยพิบัติ
- การปลูกฝังจิตสำนึก “ป้องกันก่อนเกิดภัย”
“ข้อมูลเชิงพื้นที่ไม่เพียงบอกตำแหน่งของความเสี่ยง แต่ยังบอกถึงโอกาสในการป้องกัน” การบูรณาการโจทย์นี้ จึงไม่ใช่เพียงงานรายวิชา แต่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพลเมืองสิ่งแวดล้อมที่พร้อมใช้ความรู้เพื่อร่วมป้องกันเมืองของตน
ภาพและข่าว : คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม/
ดร.ธายุกร พระบำรุง
เผยแพร่โดย : ชลทิตย์ สีเทา
ณ วันที่ : 5 พฤศจิกายน 2568
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม|Faculty of Environment and Resource Studies Mahasarakham University